กระทู้ความคิดเห็น

ผู้แสดงความคิดเห็น 0 คน
ผู้เข้าชม 893 คน

?????? 2 ??????????????????????????????
รู้ทัน 2 เชื้อโรคร้าย…เพื่อปกป้องลูกรัก 


รู้ทัน 2 เชื้อโรคร้าย…เพื่อปกป้องลูกรักจาก 3 โรคอันตราย

เจ้าเชื้อโรคร้าย คืออะไร?

         เชื้อแบคทีเรียตัวร้ายที่แผลงฤทธิ์ จนก่อให้เกิดโรคอันตรายในเด็ก ที่อยากให้คุณพ่อคุณแม่รู้จัก คือเจ้าเชื้อนิวโมคอคคัส และเชื้อเอ็นทีเอชไอ (ฮีโมฟีลุส อินฟลูเอ็นซา ชนิดไม่มีเปลือกหุ้ม) เชื้อโรคอะไรไม่รู้ ชื่อเรียกก็ยาก ไม่รู้จะรู้ไปทำไม มาลองรู้จักกันหน่อยดีไหม?

         เชื้อนิวโมคอคคัสเป็นเชื้อแบคทีเรีย ที่พบได้ 21% - 59% ในโพรงจมูกและลำคอของเด็กที่แข็งแรงดี ส่วนเชื้อเอ็นทีเอชไอพบได้ในโพรงจมูกและลำคอได้ถึง 60% - 90% ของเด็กที่แข็งแรงดี เชื้อโรค 2 ชนิดนี้อาศัยอยู่ในร่างกายของเด็ก โดยส่วนใหญ่จะไม่ก่อโรค แต่เมื่อใดที่ร่างกายอ่อนแอ เช่นป่วยเป็นหวัด ติดเชื้อไวรัสในทางเดินหายใจ เชื้อโรค 2 ชนิดนี้จะเข้าไปในอวัยวะต่าง ๆ ก่อให้เกิดอันตรายได้  

         เชื้อนิวโมคอคคัส และเชื้อเอ็นทีเอชไอ ในเด็กเล็กๆที่ภูมิต้านทานยังไม่แข็งแรงเป็นสาเหตุของการติดเชื้อที่รุนแรงที่เยื่อหุ้มสมองและในกระแสเลือดและยังเป็นสาเหตุหลักในการก่อให้เกิดโรคติดเชื้อทางเดินหายใจ เช่น หูชั้นกลางอักเสบ ไซนัสอักเสบ หลอดลมอักเสบ ปอดบวม เป็นต้น นอกจากนี้เชื้อเอ็นทีเอชไอยังทำให้เป็นโรคตาแดง เยื่อบุตาอักเสบด้วย ในแต่ละปีเชื้อนิวโมคอคคัสทำให้เด็กทั่วโลกเสียชีวิตมากกว่า 1ล้านคน

เชื้อร้ายนี้ ก่อโรคได้อย่างไร ?

         ในเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 2 ปีมีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อโรค 2 ชนิดนี้ โดยเชื้อโรคจะติดต่อจากคนสู่คนโดยการหายใจหรือไปสัมผัสกับ เสมหะ น้ำมูก น้ำลายของคนที่ติดเชื้อ เช่น ในขณะไอหรือ จาม เชื้อนิวโมคอคคัสสามารถอยู่ในเสมหะที่อุณหภูมิห้องได้นาน 1-2 วัน แต่ถ้าอยู่ในอุณหภูมิ 4 องศาเซลเซียส เชื้อจะอยู่ได้นานมากกว่า 1 สัปดาห์เลยทีเดียว ในบางพื้นที่มีรายงานว่า มือของเด็กอายุ 3-7 ปี พบเชื้อนิวโมคอคคัสได้ถึง 37%

โรคอันตรายในเด็กที่ควรรู้ ที่เกิดจาก 2 เชื้อนี้ ได้แก่โรคอะไรบ้าง?

         1.โรคไอพีดี (IPD: Invasive Pneumococcal Disease) คือ โรคติดเชื้อนิวโมคอคคัสชนิดรุนแรงโดยเชื้อจะรุกรานเข้าไปในบริเวณที่ปลอด

         เชื้อในร่างกาย เช่น เยื่อหุ้มสมอง น้ำหล่อเลี้ยงสมองและไขสันหลัง ในกระแสโลหิต ช่องเยื้อหุ้มปอด ทำให้เกิดโรคติดเชื้อในระบบประสาท การติดเชื้อในกระแสเลือด โรคปอดอักเสบ

         อาการของโรคติดเชื้อในระบบประสาท เช่น โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ เด็กจะมีไข้สูง ปวดศีรษะ ซึมลง สับสน คลื่นไส้ อาเจียน ซึ่งในเด็กทารกอาจมีการงอแง ซึม ไม่กินนม และชักได้ ถ้าไม่ได้รับการรักษาทันทีเด็กอาจมีความผิดปกติของสมอง โรคลมชัก หูหนวก ในรายที่เป็นรุนแรงอาจถึงเสียชีวิตได้

         อาการของโรคติดเชื้อในกระแสเลือด ในเด็กเล็กมักจะมีไข้สูง ร้องกวน งอแง อาจเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ช็อก มือเท้าเย็น หายใจเร็ว ถ้าอาการเป็นมากขึ้นอาจหัวใจวาย และเสียชีวิตได้

         (เชื้อเอ็นทีเอชไอเป็นสาเหตุในการก่อให้เกิดโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบและติดเชื้อในกระแสเลือดได้เหมือนกัน แต่พบได้น้อยกว่ามาก)

         2.โรคปอดอักเสบ คือ การอักเสบติดเชื้อของเนื้อปอด ปอดเมื่อมีการอักเสบ จะมีน้ำและหนองในเนื้อปอด ทำให้ความสามารถในการทำงานของปอดในการนำอ๊อกซิเจนเข้าไปในเลือดลดลง มีเด็กป่วยเป็นโรคปอดอักเสบทั่วโลกปีละ155  ล้านคน ปอดอักเสบเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตในเด็กอายุน้อยกว่า 5 ปีมากกว่า 1.8 ล้านคนต่อปี (ประมาณ 20% ของการเสียชีวิตของเด็กอายุน้อยกว่า 5 ปีทั่วโลก) ในเมืองไทยพบเด็กอายุน้อยกว่า 5 ปีป่วยเป็นปอดอักเสบประมาณ 7 คนต่อประชากรเด็ก 100 คน

         โรคปอดอักเสบที่เกิดจากโรคติดเชื้อในเด็ก เกิดได้จากหลายสาเหตุ ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย หรือเชื้อไวรัส โดยเชื้อแบคทีเรียนิวโมคอคคัสและเชื้อเอ็นทีเอชไอเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดปอดอักเสบในเด็ก

         เด็กที่เป็นโรคนี้จะมีไข้ ไอ หายใจเร็ว หายใจลำบาก หายใจเสียงดัง โดยโรคปอดอักเสบ อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อน คือ ภาวะนํ้าหรือหนองในช่องเยื่อหุ้มปอด ฝีในปอด ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดที่รุนแรง ภาวะช็อกและอาจเสียชีวิตได้

         3.โรคหูชั้นกลางอักเสบ คือ โรคที่เกิดจากการติดเชื้อที่บริเวณหูชั้นกลาง สาเหตุส่วนใหญ่มาจากการติดเชื้อแบคทีเรีย หรือไวรัส  โดยเชื้อ

         แบคทีเรียที่เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดหูชั้นกลางอักเสบในเด็ก 35% - 40% เกิดจากเชื้อนิวโมคอสคัส และ 20% - 25% เกิดจาก เชื้อเอ็นทีเอชไอ

         การอักเสบเฉียบพลันของหูชั้นกลางพบได้บ่อยในเด็ก มีรายงานว่า กว่า 80% ของเด็กอายุต่ำกว่า 3 ปีเคยเป็นโรคหูชั้นกลางอักเสบ อย่างน้อย 1 ครั้ง เหตุผลที่พบบ่อยในเด็ก เนื่องจากเด็กมีการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบนเช่น จมูก คอได้บ่อย เชื้อโรคจากโพรงหลังช่องจมูก แพร่มาทางท่อยูสเตเชียนเข้าไปในหูชั้นกลาง (ท่อยูสเตเชียนเป็นท่อเล็กๆที่เชื่อมระหว่างหูชั้นกลางกับโพรงหลังจมูก) ซึ่งท่อนี้ในด็กจะสั้นและวางตัวในแนวนอนมากกว่าในผู้ใหญ่ ทำให้เชื้อโรคเข้าไปในหูชั้นกลางได้ง่าย หากมีการอักเสบที่หูชั้นกลาง แล้วถ้าไม่ได้รับการรักษาที่ดี เชื้ออาจกระจายไปที่อวัยวะต่าง ๆ เช่น ไปสู่สมอง ทำให้เป็นเยื่อหุ้มสมองอักเสบ หรือฝีในสมองได้

         เด็กที่ป่วยเป็นโรคหูชั้นกลางอักเสบ ในเด็กเล็กอาจจะมีอาการหวัด ร้องกวน เอามือจับหู ส่วนในเด็กโตมักบอกได้ว่าเจ็บหู ซึ่งหากเด็กไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสมอาจเกิดความพิการทางการได้ยิน ทำให้เด็กมีปัญหาในการเรียนรู้ ส่งผลต่อเนื่องต่อพัฒนาการทางด้านภาษา พัฒนาการด้านต่าง ๆ และคุณภาพชีวิตตามมา

ทั้ง 3 โรคอันตรายนี้ สามารถรักษาได้หรือไม่?

         รักษาได้ครับทั้ง 3 โรคนี้ รักษาได้ด้วยยาปฏิชีวนะร่วมกับวิธีการรักษาอื่น ๆ สิ่งสำคัญคือต้องได้รับการวินิจฉัยโรคและรักษาอย่างทันท่วงที อย่างไรก็ตามบางครั้งทั้งๆ ที่ได้รับการวินิจฉัยโรคและรักษาอย่างถูกต้อง ผลการรักษาก็ยังไม่ดีเท่าที่ควร ปัจจุบันพบว่า เชื้อนิวโมคอสคัส และเชื้อเอ็นทีเอชไอ มีการดื้อยาปฏิชีวนะมากขึ้น ทำให้การรักษายาก ฉะนั้นการป้องกันดูจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด

จะปกป้องลูกให้ห่างไกลจาก 2 เชื้อโรคร้าย และ 3 โรคอันตราย ได้อย่างไร?

         เด็กเล็กยังมีภูมิคุ้มกันโรคไม่ดีนักเนื่องจากร่างกายของเขายังเจริญเติบโตไม่เต็มที่และยังไม่แข็งแรงพอที่จะต้านเชื้อโรคร้ายแรงได้ โดยเฉพาะ 2 เชื้อร้ายอย่างนิวโมคอคคัส และเอ็นทีเอชไอ ซึ่งเป็นเชื้อโรคที่ทำให้เกิดโรคไอพีดี ปอดบวม และโรคหูชั้นกลางอักเสบ นับได้ว่าเป็นเขื้อที่มีอันตรายร้ายแรง มีความทนทานและมีความเสี่ยงในการดื้อยาสูง และที่สำคัญคนที่เคยป่วยเป็นโรคเหล่านี้ยังสามารถกลับมาเป็นช้ำได้

ดังนั้นการป้องกันจึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ทำได้โดย

         1.เลี้ยงลูกด้วยนมแม่เป็นเวลามากกว่า 1 ปี

         2.รักษาความสะอาด ดูแลข้าวของเครื่องใช้ โดยเฉพาะสิ่งของที่ใช้มือจับบ่อย ๆ เช่นลูกบิดประตู ของเล่น เป็นต้น

         3.ล้างมือให้เด็กบ่อย ๆ 

         4.ปิดปากและจมูกทุกครั้งที่ไอ หรือจาม

         5.ไม่แคะจมูก ไม่เอามือใส่ปาก ไม่ขยี้ตา

         6.หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีอาการ ไอ จาม รวมถึงหลีกเลี่ยงการพาลูกไปในสถานที่ที่มีเด็กอยู่รวมกันมาก ๆ ที่ที่มีคนสูบบุหรี่ มลภาวะเป็นพิษต่าง ๆ

         7.ทำร่างกายให้แข็งแรง ด้วยการออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่ดีมีประโยชน์ อย่าให้เด็กนอนดึก

         8.ปรึกษากุมารแพทย์เรื่องการเสริมภูมิคุ้มกันป้องกันโรคจากเชื้อ 2 ชนิดข้างต้น และโรคอื่น ๆ เช่นไข้หวัดใหญ่ ที่อาจทำให้ร่างกายอ่ออนแอติดเชื้อต่าง ๆ ได้ง่าย

โดย ??? : 2013-06-26 04:28:51 IP : 110.171.36.69

ข้อความ *
รูปภาพ (รูปต้องมีขนาดไม่เกิน 50 k)
ผู้แสดงความคิดเห็น *
Email
 
New Code
Verify Code *

Your Data :
IP : 3.135.247.17
Internet form : ec2-3-135-247-17.us-east-2.compute.amazonaws.com
Date : 2024-12-4 8:00:54